วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สื่อในยุคใหม่อาจทำให้สถิติรายได้ของ Avatar ไม่มีวันถูกทำลาย



          ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้วสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Avatar ที่เข้าฉายในช่วงปลายปี 2009 ของผู้กำกับเจมส์ คาเมรอน กวาดรายได้ไปทั่วโลกเป็นจำนวนเงินสูงถึง 2,788 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนเลยที่สามารถทำรายได้ขึ้นไปใกล้เคียง ที่ใกล้ที่สุดคงเป็น Star Wars: The Force Awakens หนังแฟรนไชส์ที่กลับมาอีกครั้งในรอบสิบปี โดยในภาคนี้ทำรายได้ทั่วโลกรวมแล้ว 2,068 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็ถือว่ายังเป็นตัวเลขที่ห่างกันอยู่มาก

          หลายคนคงมีคำถามเกิดขึ้นในใจบ้างเหมือนกันว่า เป็นเพราะไม่มีหนังที่สร้างปรากฏการณ์ในระดับเดียวกับ Avatar ได้ หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ ?

          มีการวิเคราะห์จากสื่อหลายแห่งที่มองว่าการที่ผู้คนมีช่องทางในการเปิดรับสื่อที่มากขึ้น ส่งผลให้มีการเลือกเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์น้อยลง หนังซูมมีให้หาดูกันอย่างง่ายดาย อย่างในไทยเราก็คงคุ้นกันดีกับภาพจากโรงที่มีซับจีน แต่อัดเสียงพากย์ไทยลงไปในนั้น ซึ่งก็คงจะเป็นปัญหาหนักเฉพาะในฝั่งเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่นไว้ที่นึง) กับการมองว่าการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นฆ่าใครตาย แต่ทีมผู้สร้างจะล้มละลายก็ช่างมัน

          ที่อเมริกา ยุโรป และในอีกหลาย ๆ ที่ทั่วโลกมองว่าการมาของ Netflix เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พฤติกรรมการเข้ารับชมภาพยนตร์ของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาสามารถนอนอยู่บ้านในวันหยุด เสียบสายต่อกับทีวีขนาดประมาณ 50 นิ้วขึ้นไป แล้วก็นอนดูหนังอยู่กับโซฟาที่บ้านแบบส่วนตัว ระหว่างดูจะกด Pause แล้วไปเข้าห้องน้ำ หรือพักเล่นเกมใน VRSCR888 ก็สามารถทำได้แบบไม่ต้องแคร์ใคร

          นอกจากนั้นหนังใหม่ ๆ หลายเรื่องออกจากโรงฯมาประมาณ 3-4 เดือนก็สามารถหาดูผ่านช่องทางออนไลน์แบบ Full HD ได้ไม่ยาก ยิ่งเป็นการทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าการเข้าไปดูที่โรงหนังไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกแล้ว


วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

วิถีชีวิตของเด็กรุ่นใหม่

        ผมมีอาชีพรับราชการครู โรงเรียนของผมสอนตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาลหนึ่งถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม หรือที่คนทั่วไปๆส่วนใหญ่เขาเรียกกันว่าเป็นโรงเรียนแบบขยายโอกาสนั้นเอง ซึ่งคำนี้ผมว่าในอดีตนั้นก็เหมาะสมเพราะว่าครอบครัวที่ลูกถึงเกรณ์ที่จะต้องเรียนมัธยมแต่ว่าทุนทรัพย์ไม่มากพอที่จะส่งบุตรหลานไปเรียนในตัวเมืองหรือว่าตัวอำเภอได้ก็จะส่งมาเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งเด็กที่เรียนที่โรงเรียนขยายโอกาสนั้นแต่ก่อนมักจะเป็นเด็กที่ไม่ดื้อและไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเชื่อฟังครูเป็นอย่างดี เพราะว่าพวกเขารู้ตัวว่าต้นทุนชีวิตนั้นน้อยกว่าคนอื่นดังนั้นต้องตั้งใจมากกว่าคนอื่น  แต่ว่าช่วงหลังๆสักประมาณห้าปีมานี้เด็กที่มาเรียนที่โรงเรียนขยายโอกาสนั้นบาง  nax

ส่วนจะเป็นเด็กที่มีปัญหามาจากที่อื่น คือถูกไล่ออกมา  และปัญหาที่เจอบ่อยๆนั้นก็คือเรื่องชู้สาว ทะเลาะวิวาท และก็เรื่องของยาเสพติดนั้นเอง และพอมาอยู่ในโรงเรียนจของเราแล้วนั้น ก็จะพาเพื่อนๆไปในทางเสียหาย แล้วเด็กพวกเดิมที่อยู่ในโรงเรียนอยู่ก่อนแล้วนั้น ความจริงก็คือพวกเขาอยากที่จะดื้ออยู่แต่ว่าไม่รู้จะดื้อยังไงนั้นเอง พอมีคนมานำดื้อก็ไปตามเขาทันที นี้ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง  nax
        ครูทุกคนก็พยายามสอนให้เด็กอยู่ในกรอบ แต่ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั้น บางครั้งก็ทำให้เด็กนั้นรู้หลายๆอย่างมากกว่าครูด้วยซ้ำไป  ผมเป็นคนที่ดูแลเรื่องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนด้วย ซึ่งมีช่วงหนึ่งมีนโยบายให้เด็กใช้อินเตอร์เน็ตในการค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ทางโรงเรียนก็เลยเปิดให้เด็กได้ใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ฟรีๆ ในช่วงเวลาราชการ และก็เน้นย้ำตลอดมาว่าให้ใช้หาความรู้ในเรื่องของสิ่งที่มีประโยชน์เท่านั้นเพราะโลกยุคนี้นั้นเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากบางอย่างครูก็อาจจะไม่รู้และก็ตามไม่ทันบางทีหากว่านักเรียนมีความสนใจแลค้นหาความรู้แบบลึกๆแล้วละก็ อาจจะเอามาเล่าให้ครูฟังด้วยก็ได้เพื่อว่าครูจะได้หาทางส่งเสริมในสิ่งที่นักเรียนนั้นถนันหรือว่าชื่นชอบเป็นพิเศษนั้นเอง ซึ่งตอนแรกก็ดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่ครูกำหนดให้นั้นก็คือต่อหน้าครูก็จะดูคลิปเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลกต่าง ๆ แต่ลับหลังครูก็จะทราบว่าเด็กแอบเล่นเกมส์เพราะว่าหากนั่งไกลครูพวกเขาก็จะเผลออุทาน เกี่ยวกับเกมส์ออกมาเสียงดังอย่างไม่รู้ตัวนั้นเอง พักหลังพวกเขายิ่งเล่นต่อหน้าครูเลยซึ่งก็ทมีการแก้ปัญหาหลายๆวิธีการทั้งการตักเตือน และก็ลดเวลาการเปิดสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้เหลือแค่ช่วงพักเท่านั้นเอง และย้ำว่าหากเห็นว่ามีการเล่นเกมส์อีกครูก็จะให้เลิกใช้อินเตอร์เน็ตไปเลย  nax

#S7Content