skip to main |
skip to sidebar
ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้วสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Avatar
ที่เข้าฉายในช่วงปลายปี 2009 ของผู้กำกับเจมส์
คาเมรอน กวาดรายได้ไปทั่วโลกเป็นจำนวนเงินสูงถึง 2,788 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนเลยที่สามารถทำรายได้ขึ้นไปใกล้เคียง
ที่ใกล้ที่สุดคงเป็น Star Wars: The Force Awakens หนังแฟรนไชส์ที่กลับมาอีกครั้งในรอบสิบปี
โดยในภาคนี้ทำรายได้ทั่วโลกรวมแล้ว 2,068 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ซึ่งก็ถือว่ายังเป็นตัวเลขที่ห่างกันอยู่มาก
หลายคนคงมีคำถามเกิดขึ้นในใจบ้างเหมือนกันว่า
เป็นเพราะไม่มีหนังที่สร้างปรากฏการณ์ในระดับเดียวกับ Avatar ได้ หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ ?
มีการวิเคราะห์จากสื่อหลายแห่งที่มองว่าการที่ผู้คนมีช่องทางในการเปิดรับสื่อที่มากขึ้น
ส่งผลให้มีการเลือกเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์น้อยลง
หนังซูมมีให้หาดูกันอย่างง่ายดาย
อย่างในไทยเราก็คงคุ้นกันดีกับภาพจากโรงที่มีซับจีน แต่อัดเสียงพากย์ไทยลงไปในนั้น
ซึ่งก็คงจะเป็นปัญหาหนักเฉพาะในฝั่งเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่นไว้ที่นึง)
กับการมองว่าการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นฆ่าใครตาย
แต่ทีมผู้สร้างจะล้มละลายก็ช่างมัน
ที่อเมริกา ยุโรป และในอีกหลาย ๆ ที่ทั่วโลกมองว่าการมาของ Netflix
เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พฤติกรรมการเข้ารับชมภาพยนตร์ของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง
พวกเขาสามารถนอนอยู่บ้านในวันหยุด เสียบสายต่อกับทีวีขนาดประมาณ 50 นิ้วขึ้นไป แล้วก็นอนดูหนังอยู่กับโซฟาที่บ้านแบบส่วนตัว ระหว่างดูจะกด Pause
แล้วไปเข้าห้องน้ำ หรือพักเล่นเกมใน VRSCR888 ก็สามารถทำได้แบบไม่ต้องแคร์ใคร
นอกจากนั้นหนังใหม่ ๆ หลายเรื่องออกจากโรงฯมาประมาณ 3-4 เดือนก็สามารถหาดูผ่านช่องทางออนไลน์แบบ Full HD ได้ไม่ยาก
ยิ่งเป็นการทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าการเข้าไปดูที่โรงหนังไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกแล้ว
ผมมีอาชีพรับราชการครู
โรงเรียนของผมสอนตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาลหนึ่งถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม
หรือที่คนทั่วไปๆส่วนใหญ่เขาเรียกกันว่าเป็นโรงเรียนแบบขยายโอกาสนั้นเอง ซึ่งคำนี้ผมว่าในอดีตนั้นก็เหมาะสมเพราะว่าครอบครัวที่ลูกถึงเกรณ์ที่จะต้องเรียนมัธยมแต่ว่าทุนทรัพย์ไม่มากพอที่จะส่งบุตรหลานไปเรียนในตัวเมืองหรือว่าตัวอำเภอได้ก็จะส่งมาเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน
ซึ่งเด็กที่เรียนที่โรงเรียนขยายโอกาสนั้นแต่ก่อนมักจะเป็นเด็กที่ไม่ดื้อและไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเชื่อฟังครูเป็นอย่างดี
เพราะว่าพวกเขารู้ตัวว่าต้นทุนชีวิตนั้นน้อยกว่าคนอื่นดังนั้นต้องตั้งใจมากกว่าคนอื่น
แต่ว่าช่วงหลังๆสักประมาณห้าปีมานี้เด็กที่มาเรียนที่โรงเรียนขยายโอกาสนั้นบาง nax
ส่วนจะเป็นเด็กที่มีปัญหามาจากที่อื่น
คือถูกไล่ออกมา
และปัญหาที่เจอบ่อยๆนั้นก็คือเรื่องชู้สาว ทะเลาะวิวาท
และก็เรื่องของยาเสพติดนั้นเอง และพอมาอยู่ในโรงเรียนจของเราแล้วนั้น
ก็จะพาเพื่อนๆไปในทางเสียหาย แล้วเด็กพวกเดิมที่อยู่ในโรงเรียนอยู่ก่อนแล้วนั้น
ความจริงก็คือพวกเขาอยากที่จะดื้ออยู่แต่ว่าไม่รู้จะดื้อยังไงนั้นเอง
พอมีคนมานำดื้อก็ไปตามเขาทันที นี้ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง nax
ครูทุกคนก็พยายามสอนให้เด็กอยู่ในกรอบ
แต่ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั้น
บางครั้งก็ทำให้เด็กนั้นรู้หลายๆอย่างมากกว่าครูด้วยซ้ำไป ผมเป็นคนที่ดูแลเรื่องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนด้วย
ซึ่งมีช่วงหนึ่งมีนโยบายให้เด็กใช้อินเตอร์เน็ตในการค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ
ทางโรงเรียนก็เลยเปิดให้เด็กได้ใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ฟรีๆ ในช่วงเวลาราชการ
และก็เน้นย้ำตลอดมาว่าให้ใช้หาความรู้ในเรื่องของสิ่งที่มีประโยชน์เท่านั้นเพราะโลกยุคนี้นั้นเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากบางอย่างครูก็อาจจะไม่รู้และก็ตามไม่ทันบางทีหากว่านักเรียนมีความสนใจแลค้นหาความรู้แบบลึกๆแล้วละก็
อาจจะเอามาเล่าให้ครูฟังด้วยก็ได้เพื่อว่าครูจะได้หาทางส่งเสริมในสิ่งที่นักเรียนนั้นถนันหรือว่าชื่นชอบเป็นพิเศษนั้นเอง
ซึ่งตอนแรกก็ดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่ครูกำหนดให้นั้นก็คือต่อหน้าครูก็จะดูคลิปเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลกต่าง
ๆ
แต่ลับหลังครูก็จะทราบว่าเด็กแอบเล่นเกมส์เพราะว่าหากนั่งไกลครูพวกเขาก็จะเผลออุทาน
เกี่ยวกับเกมส์ออกมาเสียงดังอย่างไม่รู้ตัวนั้นเอง พักหลังพวกเขายิ่งเล่นต่อหน้าครูเลยซึ่งก็ทมีการแก้ปัญหาหลายๆวิธีการทั้งการตักเตือน
และก็ลดเวลาการเปิดสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้เหลือแค่ช่วงพักเท่านั้นเอง
และย้ำว่าหากเห็นว่ามีการเล่นเกมส์อีกครูก็จะให้เลิกใช้อินเตอร์เน็ตไปเลย nax
#S7Content